ความเป็นมาของ BRAZILLIAN JIU JITSU
จูจิสสึ ( ยิวยิสสู : Jiu-Jitsu) ต่างกับศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้พัฒนาขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง ตรงกันข้าม กลับเกิดจากพื้นฐานที่ต่างกันมาปรับเปลี่ยน และเดินทางทั่วทวีปเอเชียก่อนที่จะพัฒนาขั้นสุดท้ายในประเทศญี่ปุ่น
พระที่อาศัยอยู่ในอินเดียตอนเหนือมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนาของจูจิสสึช่วงต้น พระเหล่านี้เป็นผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลม มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี พวกเขาได้ใช้ความรู้เหล่านั้นผนวกเข้ากับหลักแห่งฟิสิกส์ เช่น คานดีดคานงัด แรงเฉื่อย จุดศูนย์ถ่วง การถ่ายเทน้ำหนัก และแรงเสียดทาน มาประยุกข์ใช้กับขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ เพื่อที่จะสร้างสรรค์ ศาสตร์แห่งศิลปะการป้องกันตัว และใช้ในการป้องกันตัวจากโจรผู้ร้าย
ก่อนคริสตศักราช 230 ปี เริ่มมีโรงเรียนจูจิสสึก่อตั้งมากมายในประเทศญี่ปุ่น ศาสตร์การต่อสู้มือเปล่าของจูจิสสึได้ถูกบรรจุลงไปในส่วนหนึ่งของการฝึกฝนของเหล่านักรบซามูไร การฝึกฝนนี้ใช้ในการพิชิตศัตรูที่มีเกราะและอาวุธในสนามรบ
ในช่วงยุคเมจิ เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมของต่างประเทศและมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามามากมาย ทำให้เหล่าบรรดาอาจารย์จูจิสสึทั้งหลายกลัวว่าชาวต่างชาติ ซึ่งตัวใหญ่และแข็งแรงกว่าคนญี่ปุ่นจะเรียนรู้ความลับและเทคนิคต่างๆของจูจิสสึ พวกเขาจึงค่อยๆแบ่งแยกมันออกเป็นวิชาต่างๆซึ่งถูกจำกัดประสิทธิภาพในการต่อสู้จริง
คาราเต้ ยูโด และไอคิโด ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก จูจิสสึ ศาสตร์เหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของกีฬาเพื่อที่จะหลบซ่อนความรุนแรงและประสิทธิภาพในสนามรบออกไป
จิโกโร่ คาโน่ (JIGORO KANO )
จิโกโร่ คาโน่ อาจารย์สอนจูจิสสึ พบว่าจูจิสึแบบดั้งเดิมนั้นไม่สามารถที่จะฝึกอย่างเต็มกำลังได้เนื่องเพราะว่าเทคนิคอันตรายต่างๆเช่น จิ้มตา เตะหว่างขา ดึงผม และอื่นๆ อาจทำให้คู่ฝึกซ้อมบาดเจ็บสาหัสจากการฝึกได้
รวมทั้งการฝึกที่เรียกว่า กาต้า (KATA: การฝึกแบบเข้าคู่โดยทั้งสองฝ่ายรู้กันและฝึกตามท่าโดยที่ไม่มีการขัดขืนกัน ) แต่เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่ได้ประสิทธิภาพที่เพียงพอ เพราะเราจะไม่สามารถคาดหวังได้ว่าศัตรูของเราจะให้ความร่วมมือในท่าที่เราฝึกมาโดยที่ไม่มีการขัดขืน
ดังนั้นการฝึกส่วนใหญ่ในโรงเรียนของคาโน่ จะเป็นแบบ รันโดริ (RANDORI) คือการฝึกซ้อมแบบจริง โดยใช้แนวความคิดว่า นักเรียนสองคนใช้เทคนิคต่างๆที่ตนเรียนรู้เพื่อการเอาชนะอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้นักเรียนจะคุ้นเคยกับความรู้สึกต่อต้าน ขัดขืนจากคู่ต่อสู้ การฝึกแบบนี้นักเรียนจะสามารถพัฒนา ร่างกาย จิตใจและความคล่องตัวได้ดีกว่า เพื่อทำให้การฝึกซ้อมแบบรันโดริมีประสิทธิภาพมาก
ขึ้น คาโน่จำเป็นต้องเอาเทคนิครุนแรงที่ก่อให้เกิดอันตรายบางส่วนเช่น การชก เตะ หัวโขก ในจูจิสสึออกไป การล็อกสามารถกระทำได้เพียงแค่ข้อศอก ซึ่งปลอดภัยกว่าการล็อกสันหลัง คอ ข้อมือ หรือหัวไหล่ เขาเรียกการฝึกซ้อมนี้ว่า “ ยูโด ”
มิตสุโย มาเอดะ (MITSUYO MAEDA)
เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของคาโน่ เขาได้รับการฝึกฝนในจูจิสสึแบบดั้งเดิมก่อนที่จะมาฝึกซ้อมกับคาโน่เมื่ออายุสิบแปดปี ในเวลานั้นคาโน่มีความต้องการที่จะเผยแพร่ยูโดของเขาออกไปยังต่างประเทศเพื่อที่จะได้รับการบรรจุเป็นกีฬาโอลิมปิค เขาได้ส่งตัวแทนมากมายไปยังส่วนต่างๆของอเมริกา มาเอดะเป็นหนึ่งในนั้น
ระหว่างการเดินทางของมาเอดะ ผู้ซึ่งต้องต่อสู้กับชาวต่างชาติที่ตัวใหญ่กว่าตลอดเวลา กลับรู้สึกว่าคาโน่เอาเทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้จริงออกมากเกินไป มาเอดะจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มเติมเทคนิคของจูจิสสึแบบดั้งเดิมลงไปและเอาเทคนิคที่เขาเห็นว่าใช้ไม่ได้ออก เขาได้หล่อหลอมศิลปะการต่อสู้ของเขาในลักษณะ การต่อสู้แบบรวม (MMA: Mix Martial Art) ลักษณะการต่อสู้ของเขาคือ การเตะต่ำหรือใช้ศอกเพื่อที่จะเข้ารวบและทุ่มคู่ต่อสู้ลงบนพื้น จากนั้นเขาจะเน้นในการต่อสู้บนพื้นดินโดยการกดล็อกให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ เขามักจะเรียกการต่อสู้ของเขาว่าจูจิสสึมากกว่ายูโด
ในปี ค . ศ . 1914 เขาได้หยุดการเดินทางที่ประเทศบราซิลและตัดสินใจที่จะอยู่และช่วยรัฐบาลญี่ปุ่นในการขยายความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนด้านที่ดินและปศุสัตว์ จากทูตชาวบราซิล กาสโตว เกรซี่ (Gastao Gracie) เพื่อเป็นการตอบแทน มาเอดะจึงสอนจูจิสสึให้กับลูกชายของเขา คาลอส (Carlos)
คาลอส เกรซี่ (CARLOS GRACIE)
คาลอส เกรซี่ มีอาชีพเป็นนักมวย ทั้งยังคลั่งไคล้ในการต่อสู้แบบไม่มีกติกาบนท้องถนน ได้ปรับปรุงและแก้ไขเทคนิคที่เขาได้เรียนมาจาก มาเอดะ เพื่อที่จะใช้ในการต่อสู้ในแบบฉบับของเขา คือแบบ “ ไม่มีกติกา ” ไว้ใช้บนท้องถนนในบราซิล
หนุ่มน้อยเกรซี่ ยังคงต้องการแก้ไขระบบการต่อสู้ของเขา โดยเปิดรับการประลองจากบุคคลทั่วไป ถึงกับโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และตามหัวมุมถนน เพื่อที่จะได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆและนำมาปรับปรุงกับวิชาของเขา เขาสู้กับทุกๆคนที่ต้องการเข้ามาประลอง โดยไม่จำกัด ขนาด น้ำหนัก หรือวิธีการต่อสู้
ถึงแม้ว่าเขาจะมีน้ำหนักเพียง 61 กิโลกรัม เขากลับสามารถพิสูจน์ ทักษะการต่อสู้ของเขาโดยที่ไม่เคยถูกใครเอาชนะได้และกลายมาเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของบราซิล
การเปิดรับคู่ต่อสู้แบบไม่จำกัดประเภทนี้กลับกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ จูจิสสึในรูปแบบของเกรซี่ คาลอสยังได้ถ่ายทอดจูจิสสึในแบบของเขาให้กับน้องๆทั้งสี่ของเขา ออสวัลโด (Oswaldo) แกสโต (Gasto) จอร์จ (Jorge) และ เฮลิโอ (Helio) รวมถึงลูกชายของเขา คาล์สัน (Carlson) และ คาร์ลีย์ (Carley) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการถ่ายทอดวิชาให้กับลูกหลานในขั้นต่อไป
เฮลิโอ เกรซี่ (HELIO GRACIE)
เมื่ออายุ 17 เฮลิโอ เกรซี่ได้เข้าสู่สนามการแข่งขันใน ริโอ เดอเจเนโร่ ( Rio de Janeiro ) เพื่อต่อสู้กับนักมวยอาชีพ แอนโตนิโอ โปรตุลก์ (Antonio Portugal) เขาได้รับชัยชนะจากท่าล็อกแขนภายในสามสิบวินาทีซึ่งเป็นชัยชนะครั้งแรกของเขา เขายังได้รับชัยชนะจากคู่ท้าชิงทั่วโลกภายใต้การฝึกสอนของพี่ชาย จนได้เป็นฮีโร่ประจำชาติต่อจากพี่ชาย
ตำนานการต่อสู้ของเขายังคงรวมถึงการต่อสู้ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ สามชั่วโมงสี่สิบห้านาที โดยไม่มีพักยก และเขาต้องสู้กับ แชมป์โลกมวยปล้ำ Wladek Zybskus ผู้ซึ่งมีน้ำหนักตัวถึง 127 กิโลกรัม เขายังท้าสู้และเอาชนะนักสู้ดังๆอีกมากมายเพื่อที่จะพิสูจน์ความเป็นหนึ่งของจูจิสสึ
เฮลิโอ เกรซี่ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ในเช้าวันที่ 29 มกราคม 2009 โดยมีอายุถึง 95 ปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของผู้ฝึก BJJ เขาเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นบิดาแห่งเกรซี่จูจิสสึ
ฮอยส์เกรซี่ (ROYCE GRACIE)
ลูกชายของเฮลิโอ เมื่อปี 1993 อัลติเมท ไฟต์ติ้ง แชมเปี้ยนชิพ (UFC: Ultimate Fighting Championship) ได้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกบนเคเบิ้ลทีวี ทั่วทั้งโลกได้ตื่นเต้นกับการต่อสู้ของยอดนักสู้ชั้นนำของโลกทั้งสิบสองคน มาปะทะกันโดยใช้มือเปล่าเป็นอาวุธ ท่ามกลางนักสู้ระดับเฮฟวี่เวทยังมีเด็กหนุ่มบราซิลร่างเล็กยืนอยู่ด้วย ฮอยส์เกรซี่เปิดเผยว่าเขาต้องการที่จะพิสูจน์ประสิทธิภาพของจูจิสสึ ทั้งที่มีคนคัดค้านมากมาย ด้วยน้ำหนักเพียง 80 กิโลกรัมเขาเปรียบเสมือนตันอ้อท่ามกลางต้นโอ๊คใหญ่ เขาเป็นต่ออยู่ถึงหนึ่งต่อห้าในหมู่นักพนันว่าเขาจะถูกน็อคภายในสามนาที
ผิดดังคาดหมาย !!!! เหมือนกับมีดร้อนตัดลงไปบนก้อนเนย เด็กหนุ่มบราซิลผู้นี้กลับโค่นคู่ต่อสู้ลงและได้ตำแหน่งแชมป์เปี้ยนไปครอง โลกแห่งศิลปะการต่อสู้ถึงกับต้องตะลึง เด็กหนุ่มผู้ซึ่งเสียเปรียบน้ำหนักตัวถึงยี่สิบกิโลกรัมหรือมากกว่ากลับสามารถเอาชนะเหล่ายอดนักสู้ต่างๆทั่วโลกได้ นี่ก็เปรียบเสมือนกับเอา ชูการ์เรย์เลียวนาร์ด (Sugar Ray Leonard) มาชกกับ ไมค์ไทสัน (Mike Tyson)
เพื่อที่จะเป็นการพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ บรรดาผู้ชมนับพันเฝ้ารอดูการป้องกันตำแหน่งแชมป์เปี้ยนของฮอยส์ในศึกครั้งที่สอง ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันมากถึงสิบหกคน และฮอยส์ยังต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเขาถึง เกือบห้าสิบกิโลกรัม ครั้งนี้คงไม่เหมือนเดิม ผู้คนคิดว่าฮอยส์คงต้องพ่ายแพ้เป็นอย่างแน่
พวกเขาคิดผิดอีกครั้ง !!!! เกรซี่หนุ่มยังคงเดินหน้าชนะต่อไป เขาทำให้คู่ต่อสู้ตบพื้นยอมแพ้เหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด เขายิ่งกลับเพิ่มความพิศวงให้โลกแห่งศิลปะการต่อสู้มากยิ่งขึ้น นี่คือนักสู้ตัวจริงซึ่งทำในสิ่งที่นักสู้พึงจะทำ นี่คือคนที่ตัวเล็กกว่า แรงน้อยกว่าแต่สามารถที่จะเอาชนะคนซึ่งตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าได้ เมื่อฮอยส์ได้รับคำถามเกี่ยวกับชัยชนะต่างๆนี้เขามักจะตอบในสำเนียงโปรตุเกสของเขาเสมอๆว่า “ ไม่ใช่เพราะตัวผม แต่เป็นเพราะเทคนิคของจูจิสสึ ”